สวัสดีค่ะ ด๋าเองค่ะ
วันนี้พอดีไปเห็นรูปตัวเองตอนกำลังจะเข้าวัยรุ่น เลยเอามาเทียบกับรูปปัจจุบัน พบว่าทุกสิ่งทุกอย่างช่างแตกต่างราวกับเป็นคนละคน เลยนึกเรื่องที่จะเล่าได้ค่ะ
ตอนเด็ก ๆ ด๋าไม่ค่อยมีความสุข ทั้ง ๆ ที่เป็นลูกคนสุดท้อง ในจำนวนพี่น้อง 4 คน ชายชายหญิงหญิง พวกเราเป็นลูกคนจีนแท้ ๆ ไม่มีเชื้อไทยปนเลยสักนิดเดียวค่ะ ลูกคนสุดท้องคนนี้ก็ไม่ได้ถูกพ่อแม่โอ๋เอาใจอะไร ครอบครัวของเราก็ไม่ได้ร่ำรวย แค่พออยู่พอกิน เสื้อผ้าต้องไล่จากพี่ชายคนโตส่งมอบต่อลงมาที่น้องทีละคน ๆ จนตกมาถึงด๋า ทุกวันนี้ยังจำชุดนั้นได้อยู่เลยค่ะ เสื้อยืดคอกลมแขนสั้นสีขาวมอ ๆ เข้าชุดกับกางเกงขาสั้น ลายอุลตร้าแมนทาโร่ 😄
ด๋าเป็นเด็กดื้อเงียบและมีความคิดเป็นของตัวเองมาก ชนิดที่ว่าเวลาใครสั่งให้ทำอะไร ก็จะนึกแย้งตลอดว่า ทำไมต้องทำแบบนั้น ในเมื่อทำอีกวิธีก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น ถูกพ่อบังคับให้กินปลาจะได้ฉลาด ๆ ก็จะแอนตี้ว่าจะฉลาดได้ยังไงถ้ายอมให้ตัวเองถูกบังคับได้ หรือเช่น แม่บอกว่าเวลาฝนตกให้วิ่งเร็ว ๆ มาหลบฝนจะได้ไม่เป็นหวัด ก็จะนึกแย้งว่า วิ่ง ๆ แล้วถ้าหกล้มยิ่งแย่กว่า ก็เลยจะค่อย ๆ เดิน 😄 เป็นเด็กค่อนข้างเงียบขรึมและไม่ค่อยพูด หน้าบึ้งตึงเกือบจะตลอดเวลา
จำได้ว่าป่าป๊ากับหม่าม้าก็มักจะพูดไม่เข้าหูกัน พูดกันนิดเดียวก็ทะเลาะกันแล้ว มาเป็นหนัก ๆ ตอนด๋าอยู่ ม.ต้น ด๋าเลยยิ่งเซ็งชีวิตหนักมาก อารมณ์ก็ไม่ดี ขี้โมโห จนครูที่โรงเรียนต้องอธิษฐานให้ บางทีด๋าก็ทะเลาะกับป่าป๊า ด้วยความที่ป๊าชอบเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ แล้วไอ้เราก็เป็นพวกมีความคิดของตัวเอง ก็ทะเลาะกันสิคะ ไม่พูดกะป๊าเป็นเดือน ๆ หลายเดือนเลยล่ะ ก็ไม่ทุกข์ร้อนอะไร ไปโรงเรียนอยู่กับเพื่อน ๆ มีความสุขกว่าอยู่บ้านเยอะ ตีกลองแต๊กปลดปล่อยไปวัน ๆ ก็หมดเทอมแล้ว พอเรียนจบ ม.3 ก็ไปสอบเข้า ม.ปลายได้เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนมีชื่อแห่งหนึ่ง ไม่ได้เรียนเก่งหรอกค่ะ เหมือนจะดวงดีมากกว่า 😅 ก็เรียนไป ทำกิจกรรมไป กิจกรรมที่ว่านี่คืออยู่วงดุริยางค์ตีกลองแต๊กอีกละ ใช้กลองปลดปล่อยตลอด 😁 จนจบ ม.6 ก็ไปเอ็นทรานซ์ติดที่มหาวิทยาลัยแถวท่าพระจันทร์ ก็เหมือนเดิม เรียนไป ทำกิจกรรมไป เป็นเชียร์ลีดเดอร์ของคณะด้วยนะคะ พอปี3ปี4ก็เริ่มหารายได้เลี้ยงตัวเองไปก๊อก ๆ แก๊ก ๆ เท่าที่พอทำได้ จนกระทั่งเรียนจบ ก็รู้ทางตัวเองแล้วว่าจะเดินเส้นทางไหน ก็พูดกับตัวเองไว้เลยว่าจะไม่สมัครงานอะไรที่ไม่เกี่ยวกับงานพากย์ แต่ งานพากย์อยู่ที่ไหน จะหาได้ยังไง ไม่รู้เลย ด๋าเลยเดินดุ่ม ๆ เข้าไปที่คณะละครเกศทิพย์ ขอเล่นละครวิทยุ ระหว่างนั้นก็รับงานแปลบท(แปลอังกฤษเป็นไทยสำหรับให้นักพากย์ใช้) อยู่มาพักนึงพี่ชายคนโตกับเพื่อนเปิดช้อปขายโทรศัพท์มือถือ ให้ด๋าไปช่วย ด๋าก็ไป ขายโทรศัพท์มือถือค่ะ สมัยยังเป็นเครื่องรุ่นกระติกน้ำ ต่อมาร้านเริ่มไปไม่รอด พี่ชายอีกคนบอกว่าหน้าหมู่บ้านจะเปิดห้างสรรพสินค้า จองล็อคไว้แล้ว ให้เราไปขายของ ด๋าก็ไปขายของค่ะ ซื้อเสื้อผ้ามาขาย เวลาไม่มีลูกค้า ด๋าก็เอางานแปลขึ้นมาทำ เสาร์อาทิตย์ก็ไปเล่นละครวิทยุ อยู่มาสักพักห้างเจ๊งค่ะ เลยรับทำงานแปลอยู่กับบ้าน หาเงินเองช่วยค่าใช้จ่ายที่บ้านได้แล้ว ช่วงนั้นเที่ยวกลางคืนหนักมาก ดริงค์แอนด์แดนซ์ ออลไนท์ลอง ปลดปล่อย ๆๆ กลับเช้า จนป่าป๊าไม่พูดด้วย ก็ไม่ได้แคร์อะไร พออายุ25 มีคนพาไปทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา ด๋าเริ่มคิดได้ เลิกตบยุงตั้งแต่ตอนนั้น ผ่านไปอีกสองสามปี พี่สะใภ้คนโตเป็นมะเร็งเสียชีวิตตอนอายุเพียงแค่ 38 ทำให้ด๋าเริ่มคิดที่จะเลิกโกรธเลิกโมโหใส่ใคร ๆ เพราะเห็นแล้วว่าชีวิตคนเรามันสั้นขนาดไหน ดีดีกันไว้ดีกว่า อยู่มาวันนึงระหว่างเอาบทที่แปลเสร็จแล้วไปส่งที่ห้องพากย์ ก็มีนักพากย์คนนึงที่เป็นเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัย พาด๋าไปฝากฝังกับทีมพากย์พันธมิตร ไปฝึกพากย์ที่นั่น สองเดือนได้พากย์เป็นนางเอก หกเดือนเส้นเสียงอักเสบ นึกว่าเกมส์แล้วอาชีพนักพากย์ของด๋า แต่หลังจากพักเสียงระยะหนึ่ง ก็กลับมาพากย์ได้อีกโดยย้ายไปเข้าทีมอินทรี ตอนนี้ตั้งใจว่าถ้ามีรายได้เกินสามหมื่นติดต่อกันสามเดือน จะย้ายออกมาอยู่เอง ก็เลิกเที่ยวกลางคืน เพื่อรักษาเสียงและพักผ่อนให้เต็มที่เพื่อทำงานพากย์ให้ดีที่สุด ก็เป็นไปตามที่คิด ได้ย้ายออกมาอยู่เองคนเดียว งานพากย์เยอะขึ้น ๆ ด๋าก็มีความสุขมากขึ้น จนมีเงินให้ป๊าม้า มีความสุขจากการได้ทำงานที่เรารักและทำได้ดี ช่วงนี้พี่เขยก็มาเสียชีวิตไปอีกคน ด๋าเลยยิ่งทำดีกับผู้คนมากขึ้น รู้จักให้อภัยมากขึ้น พอให้อภัยเป็น ก็มีความสุขมากขึ้นอีก ได้ใช้ชีวิตที่สงบสุขมากขึ้น ได้เลี้ยงดูพ่อแม่ ได้ทำสิ่งที่ดีดี รอยยิ้มมันจึงออกมาได้อย่างมากมาย ยิ้มให้ผู้คนได้ตลอดเวลา ความโกรธขึ้งอารมณ์บูดหน้าบึ้งตั้งแต่ตอนเด็กก็หายไปหมด พอวันนี้ได้เห็นรูปตัวเองในตอนนั้นแล้ว ได้แต่นึกขำในใจ เลยอยากมาเล่าและอยากให้ทุกคนได้เห็นด๋าในวันนั้นกับด๋าในวันนี้ เผื่อจะได้รู้จักกันมากขึ้นนะคะ และถ้าเรื่องนี้จะให้แง่คิดอะไรกับใครได้บ้าง ด๋าจะดีใจมากเลยค่ะ![image](
ไม่อยากเชื่อเลยว่าด๋าเคยคนหน้าบึ้งด้วย เพราะตั้งแต่เราเจอกันนี่ก็เห็นยิ้มและหัวเราะอารมณ์ดีตลอดเวลา จากเรื่องราวที่เจอในชีวิตนี่หนักหนาเหมือนกันเนอะ นับว่ายังโชคดีที่ด๋าเปลี่ยนตัวเองมาเป็นคนที่ปล่อยวางและมีความสุขได้นะเนี่ย :)
เราก็ว่าเราโชคดีมากเลยซี ที่เราได้เดินตามทางที่เราเลือกเอง ไม่เคยถูกพ่อแม่บังคับให้เดินทางไหน
รวมทั้งเพื่อน ๆ ที่เราได้เจอมาตั้งแต่ประถม ม.ต้น ม.ปลาย มหาวิทยาลัย และเพื่อนที่ทำงาน ทุกคนมีส่วนหล่อหลอมให้เราเป็นด๋าคนที่ซีรู้จักนี่ล่ะจ้ัะ
เหมือนได้อ่านนิยายสักเรื่องเลยค่ะ ดีใจจังค่ะได้มารู้จักกับนักพากย์มืออาชีพ 😊 อยากได้ยินเสียงจังค่ะ วันหลังขอฟังบ้างนะค่ะ
ผลงานฉายโรงที่มีลงแผ่นที่ดัง ๆ ก็เรื่อง avatar น่ะค่ะ คุณ@rusada168 แต่มันก็นานแล้ว ประมาณ 8 ปีแล้วมั้งคะ แต่ก็น่าจะยังพอหาดูได้อยู่ ^^
ว้าว ภาพยนต์ที่ชื่นชอบเลยค่ะ 😊 แล้วพากเป็นตัวไหนหราค่ะ เดี๋ยวกลับไปดูซ้ำอีกเป็นรอบที่ิ 4 ค่ะ
เนย์ทิรี่ค่ะ สาวชาวนาวี
โอ้โห รอบที่ 4!!!!! สุดยอดดดด 😄
เยี่ยมเลยครับพี่ด๋า
ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ ^^
รู้สึกว่าจะสวยขึ้นเยอะเลยนะคะ😊
นั่นสิคะ คุณ@siamcat ไม่น่าเชื่อว่า แค่เรารู้จักยิ้ม โลกก็ยิ้มกับเราแล้ว ทำให้ทุกอย่างสวยงามไปหมด ^^
ตอนเด็กน่ารักครับพี่ด๋า
จริงเหรอคะ ยิ่งดูเปรียบเทียบยิ่งขำค่ะ ตอนนั้นห้าวนะคะ โรงเรียนให้ไว้ผมบ็อบติ่งหู ห้ามซอยผม ด๋าก็ซอยซะ แถมตัดตรงกลางเป็นกระจุกตั้งเด่อีกตะหาก 😄😄😄
น่ารักค่ะ
ขอบคุณค่ะ ^^ ดูไปก็นึกย้อนอดีตไปค่ะ
เวลาเป็นเครื่องกำหนดทุกอย่างจริงๆนะคะ ดูๆแล้วตอนเด็กกับตอนนี้ก็น่ารักคนละแบบนะคะคุณด๋า
ใช่ค่ะ คุณไอริน เวลาเปลี่ยนคนเปลี่ยน แต่มองย้อนไปแล้วรู้สึกเลยว่าตอนเด็ก ๆ เรานี่ก็กวนไม่ใช่เล่นเลย ดื้อซะไม่มีอะ ตอนนี้ล่ะ เจออะไร คิดบวก ยิ้มลูกเดียว ชีวิตสบาย ๆ ค่ะ ^^
ดีจังคะ มีกำลังทำความดีไปด้วยเลยคะ
มาทำแต่เรื่องดี ๆ กันเถอะค่ะ มันสุขใจจริง ๆ 😄😄😄
ตอนเด็กคุณด๋าดูน่ารักสมวัย แต่เหมือนมีอะไรในใจเยอะ แต่ตอนนี้ดูเบิกบานแจ่มใส เพราะมีความสุขมากขึ้นนั่นเอง
ใช่เลยค่ะ คุณ@patinya103 เป็นอย่างนั้นเลยค่ะ ตอนเด็ก ๆ จนถึงช่วงวัยรุ่น คิดมาก ยุ่งวุ่นวายกับความคิด คิดเล็กคิดน้อย คิดจุกจิก คิดไม่ดี คิดวนเวียน จนหมอดูเคยส่ายหน้าเพราะเส้นลายมือตีกันยุ่งไปหมด หมอดูพูดเลยว่าไม่เคยเห็นคนวัยนี้เส้นยุ่งเหยิงขนาดนี้ 😄😄😄😄😄
แต่หลายปีมานี้เส้นหายไปเกือบหมดแล้วค่ะเหลือแต่เส้นหลัก ๆ เพราะอะไรที่ยุ่ง ๆ วุ่นวาย ก็ปล่อยมัน คิดแต่เรื่องดี ๆ แล้วมันสบายขึ้นจริง ๆ ค่ะ
ใช่ค่ะ ชีวิตต้องเผชิญกับสิ่งต่างๆ มากมาย กว่าความนึกคิดของเราจะพัฒนามาได้ขนาดนี้ ก็ต้องใช้เวลาและประสบการณ์ชีวิตค่อยๆ สอน ค่อยๆ เรียนรู้ คุณด๋ายอดเยี่ยมมากค่ะ ที่มาอยู่ ณ จุดนี้ได้ เพราะเปิ้ลรู้จักบางคนที่หลุดไปไกลจนไม่อาจแก้ไขและก็ไม่ยอมที่จะแก้ไขด้วย
จุดเปลี่ยนมีหลายครั้งค่ะคุณเปิ้ล มีตอนปล่อยปลา ตอนพี่สะใภ้เสีย พี่เขยเสีย แล้วก็มีหนังสือเล่มนึงที่อ่านแล้วมีใจความประมาณว่า คุณทำดีที่สุดรึยัง ยังดีกว่านี้ได้อีกมั้ย เนี่ยค่ะ เลยพยายามทำให้มันดี คิดให้มันดีขึ้น ๆ
ขอบคุณคุณเปิ้ลนะคะ ^^