บริเวณบ้านที่เราอยู่ไม่ได้เป็นชุมชนใหญ่ เดิมบริเวณนี้เป็นลักษณะของพื้นที่สวนของคนในบริเวณนี้ แต่เนื่องจากชุมชนมีการขยายตัวก็เลยมีการขยับขยายพื้นที่มาสร้างบ้านในบริเวณนี้กันมากขึ้น บ้านที่ปลูกอยู่ในบริเวณนี้จึงไม่ใช่แบบบ้านที่ปลูกชิดกันแบบชุมชนเมือง ที่ทำอะไรเสียงดังหรือพูดจาอะไรทีได้ยินไปถึงกันหมด
ตอนแรกที่มาเห็นเราชอบมากๆ บริเวณนี้ไม่ถึงกับเป็นป่าแต่ต้นไม้เยอะมาก ถนนเป็นคอนกรีตแต่ไม่ได้กว้าง เงียบสงบแต่ก็ไม่เปลี่ยวหรือน่ากลัวจนเกินไปซึ่งตอนมาซื้อที่ดินตรงนี้จะปลูกบ้านราคาก็ไม่ได้แพงเรียกได้ว่า ไม่เกินงบประมาณที่เตรียมไว้ซื้อที่ดินและปลูกบ้าน เรียกได้ว่ากว่าจะได้บ้านหลังนี้แทบน้ำตาไหล เพราะว่าในชีวิตนี้คิดว่าคงจะไม่มีบ้านที่เป็นของตัวเองอีกแล้ว ก่อนหน้านี้เคยซื้อบ้านแต่ก็ผ่อนไม่หมดจำใจขายทิ้งเพื่อปลดภาระทุกอย่างให้ได้เป็นอิสระ จนพอตั้งตัวได้ มีเงินเก็บออมพอสมควร แต่ก็ไม่คิดว่าจะซื้อบ้านมาเป็นทรัพย์สินครอบครอง เพราะว่าอยู่คนเดียว เช่าห้องอพาร์ทเมนต์อาจจะประหยัด แต่พออยู่นานและมีอายุมากขึ้น ใช้ชีวิตไม่ได้ไปไหน เริ่มมีความรู้สึกอึดอัดขึ้นทุกวันกับการอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม เลยตั้งหน้าตั้งตาเก็บเงินอยู่ 4 – 5 ปีจนได้บ้านหลังนี้
ที่เล่ามาทั้งหมดไม่ได้จะบอกว่าตัวเองเก่ง แต่อยากจะแชร์ประสบการณ์กับน้องๆ ที่พึ่งทำงานหรืออยู่ในวัยทำงานว่าอย่าประมาทในการใช้ชีวิต เพราะว่าถ้าผิดพลาดแล้วอาจจะยากที่จะกลับมาเหมือนเดิมหรืออาจจะไม่สามารถกลับมายังจุดเดิมได้ วันนี้อ่านข้อมูลของสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศที่ได้ระบุว่า มีการจัดเก็บข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติที่ทำร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย โดยทำการเก็บข้อมูลจาก 11,129 คนทั่วประเทศในปี 2561 พบว่าคนไทยเพียงแค่ 13.1 เปอร์เซ็นต์ มีเงินออมสำหรับใช้จ่ายได้มากกว่า 1 ปี ในกรณีฉุกเฉินหรือต้องหยุดงานกะทันหัน และมีคนจำนวนกว่า 23.8 เปอร์เซ็นต์ (จากผู้ให้ข้อมูล 11,129 คน) ที่บอกว่ามีเงินออมพอใช้จ่ายได้ไม่เกิน 3 เดือนถ้าหากต้องหยุดทำงาน
อยากจะบอกว่ารายได้หรือรายรับของแต่ละเดือนของคุณในแต่ละเดือน ไม่ได้แสดงให้เห็นความมั่นคงทางการเงินของคุณ แต่วิธีการเก็บออมและเงินออมที่คุณมีต่างหากที่แสดงให้เห็นความมั่นคงทางการเงิน ในช่วงเวลาปกติที่สภาพเศรษฐกิจอาจจะดีบ้างร้ายบางแต่ไม่ได้หยุดชะงักอย่างนี้ ทุกคนก็จะคิดและมั่นใจว่าเงินที่ได้รับหรือรายได้แต่ละเดือนเดี๋ยวก็มีเงินเข้าบัญชีเหมือนเดิม ส่วนใหญ่คนที่ทำงานประจำและมีรายได้เข้าบัญชีทุกเดือนจะชอบคิดแบบนี้ จนลืมคิดที่จะออมเงินไว้ยามฉุกเฉิน ส่วนเงินออมฉุกเฉินมีหลักการคิดง่ายๆ ว่า ถ้าคุณมีค่าใช้จ่ายต่างๆ ทั้งผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ใช้จ่ายส่วนตัว ต่อเดือนเท่าไหร่ ให้ลองคิดดูว่าถ้ามีเหตุการณ์ฉุกเฉินที่คุณไม่สามารถทำงานได้คุณควรมีเงินใช้ในช่วงนั้นเป็นจำนวนกี่เดือน สำหรับคนทั่วไปอาจจะบอกว่าควรจะมีเงินออมสัก 3 เดือนสำหรับค่าใช้จ่ายต่อเดือน แต่เราบอกเลยว่ายิ่งมีมากเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะหมายความว่าคุณมีความมั่นคงทางการงานเงินในชีวิต เรามองว่าเงินออมฉุกเฉินต่อค่าใช้จ่ายๆในแต่ละเดือนควรจะมีมากกว่า 6 เดือน เพราะลองดูซิว่าตั้งตอนมีการระบาดของโควิด-19 ที่สภาพการทำงานทุกอย่างเปลี่ยนไป ตอนนี้น่าจะเกิน 3 เดือนแล้ว
อ่านบทความเกี่ยวกับเรื่องทักษะทางการเงินของคนไทยจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศได้ที่ >>>> https://tdri.or.th/2020/08/thailand-financial-literacy/
สวัสดีค่ะคุณ @andyjim
เราสังเกตุเห็นโพสต์ของคุณโดนแบล็กลิสมาเกือบสองสัปดาห์แล้ว คุณรู้สาเหตุมั๊ย ว่าทำไมเขาจึงทำเช่นนั้น
เราว่าคุณน่าจะลองใช้ภาพของคุณเองดูนะ น่าจะดีกว่า และถ้าเป็นบทความที่คุณเขียนเอง คุณน่าจะลองคุยกับเค้านะ
Warning! This user is on our black list, likely as a known plagiarist, spammer or ID thief. Please be cautious with this post!
If you believe this is an error, please chat with us in the #appeals channel in our discord.
Source: Siam Commercial Bank of Thailand